พลิกธุรกิจด้วยแนวคิด VUCA
เราลองนึกภาพดูว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นของไอโฟนลองนึกดูว่า 10 ปี ที่ผ่านมาเปลี่ยนไปแล้วกี่รุ่น ธุรกิจไหนที่เราเคยเห็นเมื่อ 20 ปี ที่แล้ว และปัจจุบันไม่อยู่ให้เราเห็น การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการเสพข่าวสาร พฤติกรรมการฟังเพลงจากสื่อ พฤติกรรมการทานอาหาร พฤติกรรมการสั่งอาหาร และพฤติกรรมการซื้อของที่เปลี่ยนไป รวมทั้งการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส (Covid-19) ในปัจุบันก็เช่นกัน มีคนสรุปว่า โลกในยุคนี้สามารถอธิบายลักษณะได้ด้วยคำ 4 คำ คือ VUCA หรือ Volatility Uncertainty, Complexity และ Ambiguity นั่นคือ เรากำลังอยู่ในโลกที่มีลักษณะผันผวนเปลี่ยนแปลงเร็ว หรือ Volatility จากเมื่อก่อนที่ธุรกิจ มีความผันผวนเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างต่ำมาสู่ยุคที่ธุรกิจมีความผันผวนสูงและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น ไม่แน่นอนหรือ Uncertainty จากเดิมที่เราสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ค่อนข้างแม่นยำมาสู่ยุคที่เราไม่สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์อนาคตของธุรกิจได้ยากขึ้น ความซับซ้อนสูงหรือ Complexity จากเดิมที่ธุรกิจมีลักษณะเชิงเดี่ยวไม่ค่อยซับซ้อนมาสู่ยุคที่ธุรกิจ มีความซับซ้อนสูงหรือมีองค์ประกอบมาก หรือมีความเกี่ยวโยงกับธุรกิจอื่นมากขึ้น คลุมเครือไม่ชัดเจน หรือ Ambiguity เราไม่สามารถมองภาพของธุรกิจได้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน เมื่อโลกหรือธุรกิจที่เราอยู่มีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ข้อ ธุรกิจนั้นก็ยิ่งอยู่ยากยิ่งขึ้น ระดับของแต่ละธุรกิจที่ VUCA เข้ามามีบทบาทนั้นอาจไม่เท่ากัน บางธุรกิจก็อยู่ในระดับที่สูง เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี สื่อและบันเทิง เป็นต้น บางธุรกิจก็อยู่ในระดับปานกลาง เช่น ธุรกิจการเงิน การท่องเที่ยว สุขภาพ เป็นต้น บางธุรกิจก็อาจอยู่ในระดับที่น้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรเราต้องยอมรับว่าเราอยู่ในโลกที่ผันผวน พลิกผัน ไม่แน่นอนกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นการปรับตัวเพื่อรับมือให้อยู่รอดหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วเราจะปรับตัวได้อย่างไรในโลกของ VUCA ผู้นำหรือนักวางแผนกลยุทธ์ควรมีการปรับตัวเพื่อรับมือให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงโดยยึดหลัก VUCA เช่นกัน โดยธุรกิจต้องมี วิสัยทัศน์ หรือ VISION ที่ชัดเจน โดยมองจากมุมมองจากอนาคต มีความเข้าใจธุรกิจและองค์ประกอบย่อยของหน่วยธุรกิจตลอดจนความเข้าใจในปัจจัยภายนอกและภายในรวมถึงตัวบุคลากรที่เกี่ยวข้อง (Understanding) มีความชัดเจน (Clarity) ในธุรกิจที่ทำ เปลี่ยนความซับซ้อนให้มีความชัดเจนและเรียบง่ายมากขึ้น และสุดท้าย คือต้องปรับตัวให้รวดเร็วหรือ Agility หรือ Adaptability ผู้นำ บุคลากรในองค์กร ระบบ ตลอดจนวัฒนธรรมต้องมี การเรียนรู้และรับมือการเปลี่ยนแปลง ที่มา: ดร.ศุภกร สุนทรกิจ นักวิชาการอิสระ https://www.bangkokbiznews.com
25 มิ.ย. 2563
Reverse-culture shock ช้อปไม่ชิน
เมื่อกลับมา (Shopping) อยู่บ้านแล้วไม่ชิน: Reverse-culture shock ในการซื้อของออนไลน์ อาการของความไม่คุ้นชินเมื่อต้องย้ายไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และวัฒนธรรมใหม่ๆ อาจทำให้บางคนรู้สึกอึดอัด หวาดระแวง ไม่มั่นใจ วางตัวไม่ถูก บางคนอาจมีปัญหาเรื่องการปรับตัวทางด้านอารมณ์และสภาพจิตใจ นั่นคืออาการ Culture shock ที่มักจะพบได้บ่อยๆ ในคนที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่คนที่ย้ายจากต่างประเทศกลับมาอยู่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองก็มีอาการลักษณะนี้ได้เช่นกัน หรือที่เรียกว่า Reverse Culture Shock อาการนี้ในบางคนนั้นอาจจะหนักกว่าตอนย้ายไปดูเมืองนอกเสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุที่คิดว่ามันคือ “การกลับบ้าน” อาการนี้เกิดจากการที่เราไปอาศัยอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลานานและเกิดความคุ้นชินกับวัฒนธรรมที่นั่น และทำให้ต้องปรับตัวกันใหม่อีกครั้งเมื่อต้องกลับมาอยู่ในวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่ประเทศตัวเอง ปี 2015 เป็นปีที่ผู้เขียนจากประเทศไทยไปศึกษาต่อที่อังกฤษ การช้อปปิ้งออนไลน์ในประเทศไทยเริ่มมีบ้างประปรายแต่ยังไม่มากนัก ซึ่งขณะนั้นที่ในประเทศอังกฤษการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ถึงขั้นที่บางบริษัทเลือกที่จะทยอยปิดหน้าร้านเพื่อไปมุ่งเน้นการขายออนไลน์ ในปี 2020 ผู้เขียนกลับมาใช้ชีวิตที่ประเทศไทยอีกครั้งก็พบว่าการซื้อของออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผู้คนประเทศไทยด้วยแล้วเช่นกัน การมีสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งให้โลกออนไลน์มีบทบาทในไลฟ์สไตล์พวกเรามากขึ้น แต่พฤติกรรมการซื้อของบนอินเทอร์เน็ตในสองประเทศก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว หลายๆ อย่างที่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในปัจจุบัน ก็เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้เขียนเดินทางไปต่างประเทศเสียแล้ว การกลับมาอยู่บ้านตัวเองคราวนี้จึงแทบจะเป็นการเรียนรู้ทุกอย่างใหม่แทบทั้งหมดเกี่ยวกับการช้อปปิ้งออนไลน์ (ในประเทศไทย) E-marketplace ยอดนิยมของไทยคือ Lazada หรือ Shopee ไม่ใช่ Amazon หรือ E-bay แบบที่คุ้นเคยในยุโรป … เอาสิ เราต้องลงทะเบียนกันใหม่ ไม่เป็นไร ไม่ยาก ว่าแต่สองเว็บที่ว่านั่นมันสะกดยังไงนะ เค้าอ่านว่า ละซาดา หรือลาซาด้า ช้อปพีหรือช้อปปีหรือว่าชอปปี้ นี่ก็ยังต้องถามเพื่อนข้างๆ นอกจากการสะสมแต้มผ่านบัตรเครดิตแล้ว โปรแกรม cashback reward จากการใช้จ่ายออนไลน์ที่เมืองไทยใช้เว็บไซต์ไหนก็ต้องเริ่มหาข้อมูลกันใหม่ เมื่อเพื่อนๆ พูดกันว่า “เจ็บมาเยอะ” เพราะการซื้อเสื้อผ้าออนไลน์แล้วใส่ไม่พอดี หรือสินค้าไม่ตรงปก ... เราก็งงว่าทำไมไม่ส่งของกลับแล้วขอเงินคืนหรือขอเปลี่ยนไซส์ เพราะในอังกฤษลูกค้าอาจกดสั่งเสื้อผ้ามาเผื่อเลือก หลายไซส์หลายแบบ เอามาลองใส่ ถ้าชอบก็เอาไว้ อันไหนที่ไม่ชอบก็ส่งคืนร้านไปเพื่อเอาเงินคืน เพราะในประเทศอังกฤษมีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์สามารถคืนสินค้าได้ภายหลังจากได้รับสินค้าและได้รับเงินคืน แม้ว่าจะไม่บอกเหตุลผลของการคืนสินค้าก็ตาม (แต่มีเงื่อนไขว่าสินค้าต้องยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์) ขณะที่บางร้านค้าในไทยเค้าขายแล้วขายเลย ไม่มีการรับคืน กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่แตกต่างกันระหว่างสองประเทศทำให้เราต้องศึกษาข้อมูลกันใหม่ก่อนจ่ายเงินซื้อของออนไลน์ ดู Live สดขายของทาง Facebook หรือ Instagram รวมถึงการใช้ Social media เพื่อโปรโมทสินค้าและพูดคุยกับลูกค้าเพื่อสร้างยอดขาย คนซื้อต้องรีบ CF หรือ CC, คนขายอาจจะบอก CF no CC ศัพท์ใหม่สำหรับ การช้อปออนไลน์ ที่เมื่อได้ยินครั้งแรกก็อึ้งไปเหมือนว่าเราตกยุคไปแล้ว ทำไมฟังแล้วไม่เข้าใจเลยเวลาที่เพื่อนพูดเรื่องการ F (การเอฟ) ของใหม่ๆ มาจาก Facebook หรือ Instagram สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเป็นที่คุ้นชินของนักช้อปในเมืองไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีความเป็น Social Commerce สูงมาก ต่างจากสังคมในแถบยุโรปที่โดยมากเป็นการซื้อของผ่านเว็บไซต์ที่ลูกค้าทำการเลือกและหยิบสินค้าลงตะกร้า จ่ายตังค์ผ่านบัตรแล้วรอสินค้ามาส่งที่หน้าบ้าน ปรากฎการณ์เหล่านี้สอดคล้องกับรายงานจากหลายแหล่งที่พบว่าประเทศในเอเชียเป็นผู้นำในเรื่องการใช้สื่อ Social Media ในการขายของออนไลน์ ขณะที่ในบางทวีปการชอปปิ้งออนไลน์ส่วนใหญ่อยู่บนแพลตฟอร์มที่เป็นเว็บไซต์หรือ marketplace การพูดคุยระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายก็มีบ้างเพื่อการแนะนำสินค้า/การสอบถามรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม หรือการติดตามสถานะคำสั่งซื้อ แต่ไม่ใช่การพูดเพื่อเชิญชวนโต้ตอบสื่อสารกับลูกค้ากันแบบสดๆ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า Social Commerce ถือเป็นอนาคตของ e-commerce ซึ่งประเทศไทยติดอยู่ในกลุ่มผู้นำของการใช้สื่อโซเชียลเพื่อการขายของบนอินเทอร์เน็ต และก็เริ่มพบว่าเทรนด์ดังกล่าวนี้ก็เริ่มจะเป็นที่นิยมในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกด้วยแล้วเช่นกัน ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าตอนนี้ทักษะการทำ Social Commerce ของผู้ประกอบการไทยนั้นไม่น้อยหน้าชาติใดในโลก ด้วยความที่รูปแบบดังกล่าวสอดคล้องกับวัฒนธรรมดิจิทัลของคนไทยที่ชื่นชอบการใช้ Social Media เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเรายังมีหน่วยงาน เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่คอยช่วยเติมและเสริมทักษะดังกล่าวให้กับผู้ประกอบการมาโดยตลอดซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี อารมณ์หงุดหงิดที่เมื่อเจอสินค้าถูกใจแต่แม้ค้าเขียนแคปชั่นใต้ภาพไว้ว่า “ไม่รับเปลี่ยนหรือคืน” ความเสียอารมณ์เมื่อพบว่าสินค้าที่ได้มานั้นมีตำหนิและต้องใช้เวลาอีกเกือบเดือนกว่าจะได้สินค้าชิ้นใหม่ หรือความไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งดูแม่ค้า Live เพื่อขายสินค้า ถ้าอยากได้สินค้าทำไมไม่ไปซื้อจาก e-market หรือไปซื้อที่หน้าร้านออนไลน์ (บนเว็บไซต์) เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความช็อคกับวัฒนธรรมการช้อปปิ้งที่แตกต่างจากที่ผู้เขียนเคยชิน เมื่ออยู่ต่างประเทศ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ก็ค่อยๆ คลายไปเมื่อมีการปรับตัว จากที่ไม่ค่อยเข้าใจก็เริ่มสนุกไปกับชมสินค้าดูแม่ค้า Live FB ขายของ หรือการรีวิวสินค้าผ่าน IG TV มีการพูดคุยกับผู้ขายผ่าน LINE หรือ Messenger มากขึ้นเพื่อสอบถามรายละเอียดให้ดีจะได้เจ็บตัวน้อยที่สุด โลกของอินเตอร์เน็ตเป็นโลกไร้พรมแดน แต่พฤติกรรมการซื้อการขายของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นไปตามพื้นฐานทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ ด้วย คงไม่มีที่ถูกต้องที่สุดหรือดีที่สุด หากแต่ประเด็นสำคัญคือความเหมาะสมตามบริบท ผู้ประกอบการในแต่ละท้องถิ่นอาจมองเห็นโอกาสได้ด้วยวิธีการที่ต่างกัน ผู้ซื้อก็ย่อมต้องศึกษาข้อมูล เสาะหาวิธีการ เพื่อให้ได้สินค้าที่เหมาะกับรสนิยมและความพอใจ กฎระเบียบกฎหมายของแต่ละบริบทที่แตกต่างกันทำให้ผู้ซื้อสินค้าต้องศึกษาด้วยว่าตัวเองจะได้รับความคุ้มครองมากน้อยเพียงใด ประเด็นใดบ้างที่ต้องพึงใส่ใจมากเป็นพิเศษ การปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแต่ละท้องถิ่นนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่ว่าจะอยู่ในวัฒนธรรมใดสัจธรรมอย่างหนึ่งของการช้อปปิ้งออนไลน์ก็คือเงินจะออกจากกระเป๋าเราแม้เราไม่ออกจากบ้าน
23 มิ.ย. 2563
เสพสื่ออย่างไรให้ DIProm
ในปัจจุบัน สื่อต่าง ๆ เริ่มมีอิทธิพลและมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งหลาย ๆ คนได้ใช้ชีวิตที่บ้านมากขึ้น จึงทำให้มีเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สนใจและผ่อนคลายมากขึ้น หนึ่งในกิจกรรมยอดนิยม คือ การเสพสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้น ในบทความนี้ผมจะมานำเสนอการเสพสื่ออย่างสร้างสรรค์และต่อยอดการดำเนินงานในฐานะบุคลากรของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIProm) และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการในการต่อยอดธุรกิจครับ วิเวียน (Vivian, 2013) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Winona State University ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนหนังสือ Media of Mass Communication ได้จำแนกสื่อตามประเภทอุตสาหกรรมสื่อ (mass media industries) ได้แก่ 1. สื่อสิ่งพิมพ์ (ink on paper) เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสือ เป็นต้น2. สื่อเสียง (sound media) เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยุผ่านดาวเทียม (satellite radio) พอดแคสติง (podcasting มาจาก broadcasting + iPod) หรือการเผยแพร่เสียงรวมไปถึงการพูดคุย เล่าเรื่อง สนทนาเรื่องต่าง ๆ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต และวิทยุตามความต้องการของผู้ฟัง (on-demand radio) ที่สามารถรับฟังรายการสดหรือย้อนหลังก็ได้3. สื่อภาพเคลื่อนไหว (motion picture) เช่น โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นต้น4. ภูมิทัศน์สื่อใหม่ (new media landscape) เช่น สื่อออนไลน์ต่าง ๆ นวนิยายมือถือ (cell phone novel) บล็อก (blog) สื่อสังคม (social media) เกม (game) โปรแกรมในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่านระบบเว็บไซต์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (search engine) คลังดิจิทัลเก็บข้อมูล (digital store) วิกิพีเดีย (wikipedia) และการบันทึกข่าวสาร (news record) ซึ่งในบทความนี้ ผมขอกล่าวถึงสื่อที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลอย่างยิ่ง นั่นคือ สื่อประเภทภูมิทัศน์สื่อใหม่ (new media landscope) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการให้บริการสื่อออนไลน์ที่น่าสนใจในรูปแบบ “แพลตฟอร์มด้านความบันเทิง” ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เป็นผู้นำของตลาดแพลตฟอร์มดังกล่าวในปัจจุบัน จากข้อมูลของฐานเศรษฐกิจ (2563) Netflix ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองลอสแกทัส รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานในอีกหลายประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ บราซิล อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีพื้นที่ให้บริการ 190 ประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมของบริษัทคือ การบันเทิง โดยมีผลิตภัณฑ์ ได้แก่ สื่อแบบส่งต่อเนื่องวีดีทัศน์ตามคำขอ การผลิตภาพยนตร์ จัดจำหน่ายภาพยนตร์ การผลิตละครโทรทัศน์ บริษัทฯ มีรายได้ประมาณ 8.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น รายได้จากการดำเนินงาน 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินได้สุทธิ 187 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินทรัพย์รวม 13.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2561 กำไรของบริษัทมากกว่าประมาณการไว้ ทำให้มูลค่าตลาดของ Netflix นั้น ได้ผ่าน 1 แสนล้านเหรียญ (ประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท) ปัจจุบัน Netflix มีผู้ใช้กว่า 109.25 ล้านคนทั่วโลก มีบุคลากรในบริษัท 3,500 คน มีนายรีด ฮาสติงส์ (Reed Hastings) เป็น ประธานกรรมการบริหารของ Netflix หลังจากสาธยายความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมบันเทิงที่เผยแพร่สื่อที่จัดเตรียมไว้ให้ผู้บริโภคได้เสพอย่างไม่จำกัดอย่าง Netflix มาพอสมควรแล้ว ในฐานะของผู้ชมที่เลือกเสพสื่อที่มีมากมาย จะเสพอย่างไรให้ได้ประโยชน์ และไม่สูญเสียเวลาไปกับความบันเทิงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสพอย่างสร้างสรรค์ ทั้งในฐานะบุคลากรของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIProm) และในฐานะผู้ประกอบการ โดยยกตัวอย่างสื่อที่ผมได้รับชมแล้วรู้สึกว่าโดนใจและนำไปต่อยอดได้บางส่วน (แน่นอนว่าอาจมีการสปอยล์บางส่วน) ดังนี้ครับ 1. เส้นทางธุรกิจ จากชีวิตติดลบสู่ CEO ติดจรวดเกริ่นมาเบื้องต้น แต่ถ้าคนไหนเคยชมต้องร้อง อ๋อ!!! แน่นอนครับ ผมกำลังกล่าวถึงซีรีส์เกาหลีสุดปัง “Itaewon Class (ธุรกิจปิดเกมส์แค้น)” ซึ่งเรียกได้ว่า ดังได้ถูกจังหวะและเนื้อหาถูกจริตยุค COVID-19 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางธุรกิจของ “พัคแซรอย” ที่ชีวิตพลิกผันจากเด็กมัธยมปลายสู่นักโทษในเรือนจำ โดยใช้ความแค้นเป็นแรงผลักดันไปสู่เส้นทางนักธุรกิจที่มีแรงผลักดันในการใช้ความแค้นเป็นเส้นทางสู่นักธุรกิจ เรียกได้ว่าจากชีวิตติดลบแต่ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถก้าวสู่ตำแหน่ง CEO แบบติดจรวดได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งถ้าใครได้ติดตามซีรีส์เรื่องนี้จะเห็นกระบวนการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจร้านอาหารและแฟรนไชส์ ซึ่งมีประเด็นการทำธุรกิจที่น่าสนใจหลายประเด็นครับ>> วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่งเราจะเห็นพระเอกพูดถึงเป้าหมายในแต่ละช่วงชีวิตหลังจากออกจากเรือนจำแล้ว ซึ่งตัวละครหลายตัวหัวเราะเยาะและคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็สามารถทำได้จริง เนื่องจากมีการวางแผนที่ดีมีเป้าหมายชัดเจน มีการกำหนดเป้าหมายเป็นระยะ ๆ และมีความพยายามในการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ >> รู้เรื่อง “ทำเล” ไม่มีทาง “โดนเท” แน่นอนแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการตั้งร้านอาหารย่าน “Itaewon” จะมีต้นทุนสูงมาก แต่พระเอกก็เลือกที่จะเริ่มต้นธุรกิจในย่านดังกล่าว เนื่องจากได้ศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายและประเมินผลลัพธ์ไว้แล้วว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ดังนั้นในซีรีส์ดังกล่าว เราจะเห็นอิทธิพลของ “ทำเล” ที่มีผลต่อธุรกิจในหลาย ๆ ฉากของซีรีส์เรื่องนี้ >> สินค้าดี บริการโดนใจ แต่ไร้ค่า (ถ้าไม่สร้างกระแส) ในช่วงแรกพระเอกยังคงยึดการทำธุรกิจที่เน้นคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ แต่ยอดขายก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นจึงได้ตัวช่วยจากตัวละครหนึ่งในเรื่องที่มากระตุ้นยอดขายจากการสร้างกระแสใน social network ทำให้กิจการเติบโตขึ้นเกินคาด ดังนั้นหากจะทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน การสร้างกระแสสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน social network เพราะนอกจากจะทำให้ธุรกิจเป็นที่รับรู้ในวงกว้างแล้ว ยังอาจใช้ข้อมูลคำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ จากผู้บริโภคไปพัฒนาและปรับปรุงสินค้าและบริการต่อไปได้>> ธุรกิจรุ่ง โตเดี่ยว เดินคนเดียวไม่ยั่งยืนถึงคราวที่พระเอกของเรา โดนกลั่นแกล้งให้ร้านไปอยู่ในย่านที่ทำเลไม่ดี แนวคิดของพระเอก คือ การให้ธุรกิจของตนและธุรกิจรอบ ๆ เติบโตไปด้วยกัน ทำให้ย่านที่ซบเซา กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งหลักการดังกล่าวทำให้เกิดความยั่งยืนในธุรกิจ กล่าวคือ ไม่ได้นึกถึงตนเองเพียงอย่างเดียว แต่นึกถึงเพื่อนบ้านด้วย ทำให้ย่านดังกล่าวกลับมาคึกคักอีกครั้ง>> คุณธรรมค้ำจุนธุรกิจแม้ว่าพระเอกของเราจะโดนกลั่นแกล้งขนาดไหน และมีบางครั้งถ้าเลือกเดินนอกเส้นทางแห่งคุณธรรมก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ แต่ก็ยังคงยึดมั่นในคุณธรรมและจรรยาบรรณทางธุรกิจ ซึ่งท้ายที่สุดก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างใสสะอาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคุณธรรมสามารถค้ำจุนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ข้อคิดการทำธุรกิจที่ได้จากซีรีส์เรื่องดังกล่าว สอดคล้องกับ "6 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำธุรกิจ" ที่คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม ผู้อำนวยการส่วนที่ปรึกษาการลงทุน บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง เจ้าของผลงานหนังสือ Bestseller “แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน” และ “คลินิกหุ้นมือใหม่” ได้ให้ข้อคิดการเริ่มต้นทำธุรกิจในรายการ SME Clinic Influencer ได้แก่ 1) การสร้างจุดขายที่แตกต่าง 2) การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน 3) การมีแผนธุรกิจที่ดีและชัดเจน 4) การมีที่ปรึกษาที่ดี มีประสบการณ์ 5) การสร้าง Connection หรือเครือข่ายทางธุรกิจ และ 6) การมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถต่อยอดธุรกิจได้ (ผู้จัดการออนไลน์, 2562) 2. หนังสารคดีไทย ว่าด้วยเรื่องของ Girl Group ที่แฝงด้วยหลักการตลาดและสัจธรรมของชีวิตอีกเรื่องหนึ่งที่ขอหยิบยกมาเกริ่นไว้ก่อนเนื่องจากเนื้อที่ค่อนข้างจำกัด เป็นภาพยนตร์สารคดีของไทย กล่าวถึงเส้นทางชีวิตของกลุ่มศิลปินสาวชื่อดังวง BNK 48 ใครจะรู้ว่า เมื่อชมจบแล้วสามารถถอดบทเรียนการตลาดและสัจธรรมชีวิตได้เลยครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคว้ารางวัล Best Documentary Feature Award ในงานเทศกาลภาพยนตร์ See the sound – soundtrack cologne ณ เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ “Girls Don’t Cry” นั่นเองครับ การดำเนินเรื่องใช้บทสัมภาษณ์ ที่ตัดไปมาระหว่างภาพเหตุการณ์สำคัญ ๆ ต่าง ๆ ตั้งแต่ การคัดเลือก (Audition) การฝึกซ้อมเพื่อให้ได้เป็น “เซ็มบัตสึ” หรือผู้ที่ได้ร้องในเพลง ๆ หนึ่ง ซึ่งผมเอง เพิ่งทราบว่า วงนี้มี 30 คน แต่ในแต่ละ single ที่ออกมา ใช้เพียง 16 คน นั่นคือ อีก 14 คน ต้องดูข้างเวที เวลาตัวจริงแสดง และแน่นอนว่า 16 คนเวลาออกสื่อหรือแสดง คนที่โดดเด่นต้องเป็นตำแหน่งหน้า ๆ โดยเฉพาะ “เซ็นเตอร์” ดูไปดูมา นี่มันหลักการตลาดของการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หนึ่งชัด ๆ (ค่อนข้างอิน เพราะเคยเป็น R&D มาก่อน) เราจะเห็นกระบวนการตั้งแต่การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ (ก็อาจจะเทียบได้กับ Concept Development ไปจนกระทั่ง Product Design) การพัฒนาสูตรและกระบวนการให้ผลิตได้จริง (Industrialization) การออกสินค้าสู่ตลาด (Launching) ตำแหน่งการวางสินค้าในร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Modern Trade ซึ่งมีการแข่งขันกันสูง การปรับปรุงสูตรและกระบวนการผลิต (Product and Process Improvement) การลดราคาวัตถุดิบ (Cost Reduction) และการบริหารวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle Management) ลองไปชมกันนะครับ แล้วถ้ามีโอกาสในครั้งต่อไป ผมจะมาเขียนแบบละเอียดอีกครั้งครับ จะเห็นได้ว่า สื่อที่ผลิตออกมานั้น นอกจากจะมุ่งเน้นให้ความบันเทิงแล้ว หากเราเสพงานศิลป์ดังกล่าวให้ได้สาระและเชื่อมโยงกับงานที่ทำ ก็จะพบว่าสื่อต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ให้ประโยชน์และแง่คิดในการทำงานและการใช้ชีวิต ดังนั้น อย่าให้เวลาในการเสพสื่อของคุณสูญเปล่าไปกับความบันเทิงเพียงอย่างเดียวนะครับ หากเสพด้วยวิจารณญาณก็จะทำให้การเสพสื่อนั้น “ดีพร้อม” และสามารถนำไปต่อยอดการทำงานของ DIProm ต่อไปได้ครับ ที่มา : Vivian, J. (2013). The Media of Mass Communication: Pearson. Boston. New York ผู้จัดการออนไลน์ : https://mgronline.com/smes/detail/9620000088955 บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด : https://www.thansettakij.com/content/tech/437057 สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (2557). รู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) :http://bcp.nbtc.go.th/uploads/items/attachments/b7bb35b9c6ca2aee2df08cf09d7016c2/_651dab51d77cc9cc0b46de8a418db8e7.pdf
19 มิ.ย. 2563
นิยายรุ่ง สวนกระแส สิ่งพิมพ์ร่วง
สิ่งพิมพ์ตาย...แต่ทำไมนิยายยังคงทน? ไม่ขอใช้คำว่าสิ่งพิมพ์ยังคงอยู่ ขอใช้คำว่ายังคงทน ก็เพราะว่าหลายสำนักพิมพ์ที่ผลิตหนังสือทนแบกรับภาระในภาวะขาดทุนไม่ไหวปิดตัวลงไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเปิดกว้างของวงการหนังสือก็อาจจะเป็นทางรอดของวงการหนังสือไทย ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นักอ่านหลายคนหันไปอ่านอีบุ๊ก แต่ก็เพราะเสน่ห์ของหนังสือคือการจับสัมผัสและกลิ่นของกระดาษจึงสามารถดึงดูดเหล่านักอ่านได้อย่างเหนียวแน่นไม่แพ้กัน เคยเกิดคำถามขึ้นบ้างหรือเปล่าขณะที่กำลังเดินผ่านร้านหนังสือแผงลอยหรือร้านขายหนังสือชั้นนำ ว่าผู้ผลิตและผู้เขียนรวมถึงอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ใน Book Supply Chain ของกระบวนการทำหนังสืออยู่ได้ยังไงในสถานการณ์ที่หนังสือกำลังถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี ในวงการหนังสือต่างรู้ดีว่าหนังสือใกล้ตายเต็มทนและคำถามที่เกิดตามมาคือ แล้วทำไมแล้วหนังสือบางประเภทถึงอยู่ได้และขายดีสวนกระแส อย่างหนังสือนิยายที่ยังขายได้ไม่ปิดตายกระดาษถูกกลายสภาพเป็นกระดาษห่อกล้วยแขก คำตอบที่แท้จริงคงต้องค้นหาจาก Customer Journey การสืบหาผ่านการเดินทางของลูกค้าซึ่งถือเป็นกลยุทธ์คลาสสิกที่น่าจะช่วยฉุดรั้งวงการหนังสือไทยไม่ให้หายหน้าไปจากวงการหนังสือโลก ? อาจเพราะมนุษย์ชอบความบันเทิงเริงรมย์? อาจเพราะจินตนาการสำคัญกว่าการเรียนรู้? อาจเพราะยังมีนักอ่านที่อยากเป็นนักเขียนอยู่? อาจเพราะอ่านมากจะทำให้รู้มาก? อาจเพราะปลายทางของนิยายจะกลายเป็นละคร ซีรีย์ หนัง ที่สามารถสร้างเม็ดเงินได้มหาศาล นอกจากนักเขียนจะต้องฝึกปรือลับฝีมือให้คมกริบแล้ว เจ้าของธุรกิจผู้ผลิตยังจะต้องเปิดใจมองหากลยุทธ์และแผนการตลาดใหม่ ๆ ที่โดนใจกลุ่มนักอ่านดึงดูดผูกใจผูกปิ่นโตให้คงอยู่กับสำนักพิมพ์ต่อไป จากผลวิเคราะห์ข้อมูลภายในของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก Picodi.com เกี่ยวกับธุรกรรมในร้านหนังสือออนไลน์และการสำรวจที่ดำเนินการในเดือนมีนาคม 2562 ในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 7,800 คน จาก 41 ประเทศ เรื่องการซื้อหนังสือในประเทศไทยในปี 2562 ทำให้ทราบว่ารูปแบบหนังสือที่คนไทยสนใจ 4 ลำดับแรก คือ หนังสือกระดาษในร้านหนังสือ 71% หนังสือกระดาษในร้านหนังสือออนไลน์ 34% ดาวน์โหลดจากแหล่งข้อมูลฟรี 19% อีบุ๊คจากร้านหนังสือออนไลน์ 12% อีกทั้งปัจจัยหลักที่กำหนดวิธีการซื้อหนังสือ 57% ตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง 29% เป็นความคิดเห็นของนักเขียนบล็อก และ 26% ต่อรองได้ในราคาที่ถูกกว่า เป็นการตอกย้ำว่าการขายที่ได้กำไรมักเกิดจากการทำการตลาดด้วยวิธีการ Sale Promotion ซึ่งหนังสือแต่ละประเภทก็มีจุดยืนและกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันไปตามแต่ต้นทุนและความนิยมในใจนักอ่าน โดยหมวดหมู่หนังสือที่ครองใจนักอ่านนิรันดร์กาลก็ไม่ผิดคาดเพราะยังคงเป็น หนังสือนิยาย 49% หนังสือเกี่ยวกับงานอดิเรก 40% หนังสือธุรกิจและหนังสือสารคดี 34% และ 26% ตามลำดับ การอ่านหนังสือแต่ละเล่มทำให้เราได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ แง่คิด ทัศนคติ มุมมอง รวมถึงความรู้ที่นักเขียนพยายามในการค้นคว้าสืบค้นและสอดแทรกระหว่างบรรทัดมาถึงนักอ่าน คอนเทนต์จึงถือเป็นกุญแจสำคัญของการทำหนังสือให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นลองเปลี่ยนจากนักเขียนหนังสือให้คนอ่านมาเป็นนักอ่านใจนักอ่านดูบ้าง ว่าเขาต้องการ ชื่นชอบ ไม่ชอบ และคิดยังไงกับหนังสือของคุณ? ลองถอดความสำเร็จของหนังสือนิยาย อะไรคือ Key Success ที่ทำให้นิยายสามารถโลดแล่นสวนกระแสสิ่งพิมพ์ประเภทอื่นที่ค่อย ๆ ร่วงโรยปิดตายไปในยุค Paperless สมัยนี้ ขายทั้งเล่ม ขายทั้งไฟล์ อยู่ได้ไม่อดตายแน่นอน กลุ่มนักอ่านในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างไม่จำกัดอยู่เฉพาะในรูปแบบรูปเล่มเท่านั้น อีบุ๊กยังเป็นทางเลือกของกลุ่มนักอ่านสมัยใหม่เช่นเดียวกัน ปัจจุบันนักเขียนหลายคนไม่ได้ยึดติดอยู่กับสำนักพิมพ์อีกต่อไปแล้ว การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนิยายด้วยการพิมพ์ผลิตเองและขายเองแบบ Make to Order ขายอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์บนออนไลน์แพลตฟอร์มหรือ Fanpage เพื่อดูแลกลุ่มลูกค้านักอ่านอย่างใกล้ชิด หรือแม้กระทั่งกลยุทธ์เปิดให้อ่านฟรี แล้วปิดบางบทเพื่อกระตุ้นความอยากรู้ชวนให้นักอ่านติดตาม ปิดท้ายด้วยเปิดพรีออร์เดอร์นิยายก็สามารถเพิ่มกำไรยอดขายได้อีกโข เอาใจนักอ่าน ตอบโจทย์ความหลากหลายให้ครบทุกไลฟ์สไตล์ บางคนชอบอ่านเล่มหนา บางคนชอบอ่านเล่มบาง บางคนชอบอ่านเล่มต่อ บางคนชอบอ่านนิยายชุด ความวาไรตี้ของแนวหนังสือนิยายจะสามารถช่วยดึงดูดนักอ่านที่ไม่ชอบความจำเจหรือนักอ่านที่ต้องการตัวเลือกได้เป็นอย่างดี นักเขียนบางคนวางแผนเขียนเพียงเล่มเดียวแต่เมื่อกระแสตอบรับดี นักอ่านแสดงความต้องการที่หลากหลายผ่านช่องทางต่าง ๆ มาถึงนักเขียนโดยตรงก็ทำให้นักเขียนเห็นฟีดแบ็กและตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักอ่านของตัวเองได้อย่างสอดคล้องเหมาะสม รวมถึงการเอาใจนักอ่านด้วยการรักษาลูกค้าเก่ามองหาลูกค้าใหม่ การจัดโปรโมชั่นรวมถึงการบริการหลังการขายก็เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างความจงรักภักดีรักษาลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ พล็อตกระแทกใจ หนา แพง แค่ไหนก็ทุ่มไม่อั้น เพราะพล็อตเป็น Core Value ของหนังสือ เพราะฉะนั้นการวางแนวทางหลักของเรื่องเป็นสิ่งที่เรียกแขกให้มามุงสนใจได้เสมอ บางเล่มเน้นสนุกสนานโลกสวย บางเล่มมีจุดยืนสอดแทรกความรู้เข้าไปด้วย อย่างเช่น ตำราพิชัยสงคราม การรบ การทหาร หลักคุณธรรม หลักศาสนา หลักวิทยาศาสตร์ หรือกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ พล็อตเรื่องที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำ ไม่ลอกเลียนแบบ เมื่อมารวมกับสำนวนภาษาในการเขียน ความคิดสร้างสรรค์จินตนาการ และเทคนิคการเขียนเฉพาะตัวของนักเขียนก็จะทำให้หนังสือเล่มนั้นเกิดคุณค่าในมือนักอ่านและเกิดมูลค่าเป็นรายได้ให้นักเขียนได้ในระยะยาว การอ่านหนังสือนอกจากจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้และคลายเครียดแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมอาชีพที่อยู่ในวงการหนังสืออุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางให้มีอาชีพต่อไป เรามาช่วยกันขยับอันดับการอ่านหนังสือของคนไทยให้สูงขึ้นเพิ่มขึ้นอีกหลาย ๆ บรรทัด หลาย ๆ สิบเล่ม แม้ว่าหนังสือที่คุณอ่านจะเป็นหนังสือนิยายก็ตาม...เพราะการอ่านนิยายไม่ได้ให้แค่ความสุขแบบฉาบฉวยหรือการมองโลกสวยไปวัน ๆ ทุกวรรคตอนของคำ นักเขียนแฝงแง่คิดจรรโลงใจนักอ่านไว้เสมอ ตราบใดที่คนไทยยังจ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสืออ่านอยู่ ตราบนั้นเราก็ยังจะเห็นทางรอดของวงการสิ่งพิมพ์ไทย เพียงแค่ปรับตัวให้ทันกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงด้วยการเปิดใจยอมรับและเรียนรู้ ธุรกิจของคุณก็มีสิทธิ์รอดกลับมารุ่งได้อย่างแน่นอน ที่มา : https://www.picodi.com/th/bargain-hunting/books-buying-in-thailand http://lertad.com/a2z/supply-chain-vs-value-chain-scm-vs-vcm/?doing_wp_cron=1591000726.9097049236297607421875 http://drvithaya.blogspot.com/2012/10/blog-post.html *** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ***
17 มิ.ย. 2563
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการตั้งชื่อธุรกิจ
การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ไม่ว่าธุรกิจใด ๆ การตั้งชื่อธุรกิจ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการ ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ โดยชื่อของธุรกิจนั้น ต้องใช้เป็นสื่อในด้านการตลาด สร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจที่ผู้ประกอบการกำลังดำเนินงานอยู่ โดยสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการตั้งชื่อธุรกิจมีดังนี้1. หลีกเลี่ยงตั้งชื่อธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงเกินไป แน่นอนว่าผู้ประกอบการต้องตั้งชื่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจตนเอง แต่ทั้งนี้ไม่ควรระบุเจาะจง จนเกินไปเพราะอาจส่งผลต่อการขยายโอกาสในอนาคต ยกตัวอย่างร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง KFC ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นตัวย่อมาจากชื่อเต็มว่า Kentucky Fried Chicken เพราะถ้าขืนยังใช้ชื่อเดิมอยู่ ผู้พัน Kentucky อาจขายได้เพียงไก่ทอดตามชื่อบริษัทเท่านั้น2. หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อสถานที่มาตั้งเป็นชื่อธุรกิจ เนื่องจากในอนาคตผู้ประกอบการอาจขยายสาขาธุรกิจไปพื้นที่อื่น และอาจทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจผิดได้ เช่น ลาดพร้าวอะไหล่ยนต์ เพราะมีที่ตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว และถ้าขยายสาขาไปสุขุมวิท ลูกค้าอาจจะไม่ทราบ เพราะชื่อระบุว่าเป็นลาดพร้าว ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรตั้งชื่อโดยคำนึงถึงอนาคตว่าวันหนึ่งกิจการของคุณอาจจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในพื้นที่หนึ่งๆ แต่อาจขยายไปทั่วประเทศหรือต่างประเทศได้ ยกตัวอย่างบริษัท Minnesota Manufacturing and Mining ที่เปลี่ยนชื่อเป็น 3M เพื่อให้ขายได้ทั่วโลกอย่างในปัจจุบัน3. หลีกเลี่ยงการชื่อของตนเองมาตั้งชื่อธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านทอง ที่ตั้งชื่อขึ้นต้นด้วย “ห้างทอง”และตามด้วยชื่อ “แม่” ต่าง ๆ หรือ ร้านขนม ที่ขึ้นต้นด้วยชื่อ “แม่” ต่าง ๆ ชื่อเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายกันมาก ยากต่อการจดจำ ถ้าผู้ประกอบการวางแผนจะขายธุรกิจในอนาคต ชื่อร้านที่เป็นตัวบุคคลเช่นนี้ไม่ดึงดูดใจผู้ซื้อเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับธุรกิจที่สร้างชื่อจากสินค้าหรือบริการ อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมมองหนึ่ง การใช้ชื่อตนเอง หรือวงศ์ตระกูลมาตั้งเป็นชื่อธุรกิจ อาจเป็นการสื่อถึงจุดเริ่มต้นและประวัติของธุรกิจ ที่ทำให้รู้สึกได้ว่า สินค้าหรือบริการนี้ มีมานานแล้ว และยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ ความเชื่อมั่นและความผูกผันที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจหรือแบรนด์ได้อีกด้วย4. หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อธุรกิจที่มีคนใช้อยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว เช่น ชื่อธุรกิจที่มีคำว่า “รวย”“มงคล” “พาณิชย์” ฯลฯ หรือถ้าเป็นร้านซ่อมเครื่องไฟฟ้าก็มักจะมีคำว่า “อิเล็กทรอนิกส์” ในชื่อเกือบทุกร้านแม้ชื่อต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถสื่อความหมายได้ดี และเป็นสิริมงคลต่อธุรกิจที่เริ่มก่อตั้งใหม่ แต่ชื่อเหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก ไม่มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคู่แข่งหลายรายที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันและส่วนใหญ่เวลาตั้งชื่อก็จะตั้งเหมือนๆกัน ทำให้ลูกค้าจดจำไม่ค่อยได้ บางครั้งลูกค้าอาจจะจำผิดเพราะมีชื่อซ้ำกันมากจนเกินไปนั่นเอง5. หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อธุรกิจที่สะกดยาก ชื่อธุรกิจที่ดีควรสะกดและเขียนได้ง่าย ถ้าสะกดยากอาจมีข้อผิดพลาดในการสะกดชื่อธุรกิจให้ถูกต้องได้ เช่น เกิดปัญหาด้านการทำเอกสารติดต่อต่าง ๆ การทำสัญญาซื้อขายกับคู่ค้า รวมถึงการเขียนเช็คสั่งจ่ายมายังธุรกิจของเราด้วย อีกทั้ง ชื่อธุรกิจควรเป็นชื่อที่เข้าใจง่ายและออกเสียงง่ายอีกด้วย ทำให้ลูกค้าจำชื่อของธุรกิจคุณได้ดีขึ้น อย่าลืมว่าการค้า “แบบปากต่อปาก” (Word of Mouth) ยังมีผลมาก หากผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ประกอบการดีจริงจนลูกค้าอยากแนะนำให้คนรู้จักใช้บ้าง แต่ชื่อธุรกิจจำยากหรือออกเสียงยากเกินไปทำให้ไม่สามารถจำชื่อไปบอกคนอื่นต่อได้ ผู้ประกอบการก็อาจพลาดในการได้ลูกค้ารายใหม่ๆได้ นอกจากนี้แล้วยังอาจมีปัญหาในการนำชื่อไปจัดทำเว็บไซต์ของทางบริษัทที่เป็นภาษาอังกฤษด้วยเพราะไม่รู้จะสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไรอีกด้วย6. หลีกเลี่ยงการเล่นคำในชื่อและการใช้อักษรย่อ เพราะจะทำให้ลูกค้าไม่ทราบว่าสินค้าและบริการของผู้ประกอบการคืออะไร หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อบริษัทประเภทที่เป็นประโยคอุปมาอุปมัย การตั้งชื่อที่ผิดศีลธรรม การใช้คำผวน ซึ่งอาจโดนวิพากษ์วิจารณ์ เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแก่ธุรกิจได้เพราะความสามารถในการสื่อสารของคนเรานั้นไม่เท่ากันอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนในการตีความก็เป็นได้7. หลีกเลี่ยงการใช้ชื่อใกล้เคียงกับบริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หรือชื่อที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ (ทั้งไทยและต่างประเทศ) การจงใจใช้ชื่อใกล้เคียงกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจลักษณะเดียวเพื่อหวังผลให้เกิดความเข้าใจผิดจากลูกค้า ผู้ประกอบการอาจถูกฟ้องร้องจากบริษัทที่คุณจงใจเลียนแบบได้ เช่น กรณีของนาย Victor Moseley ที่เมืองอลิซาเบท รัฐเคนตักกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ใช้ชื่อ Victor’s Secret เป็นชื่อร้านขายของขวัญสำหรับผู้ใหญ่และชุดชั้นในสตรี เมื่อฝ่ายกฏหมายของ Victoria’s Secret (ร้านชุดชั้นในสตรีชื่อดังของสหรัฐฯ) พบเข้าจึงได้ยื่นหนังสือฟ้องร้านของนายวิคเตอร์ในข้อหาละเมิดชื่อบริษัท แม้เขาจะรีบเปลี่ยนชื่อเป็น Victor’s Little Secret ก็ยังโดน Victoria’s Secret ฟ้อง • การตั้งชื่อธุรกิจควรมีความหมายที่ดีเช่นเดียวกับการตั้งชื่อของคน ซึ่งผู้ประกอบการและลูกค้าอาจยังยึดถือเรื่องโชคลาง หาชื่อธุรกิจที่เป็นสิริมงคลโดยทำการดูดวงและฮวงจุ้ยของชื่อนั้น ๆก่อน ก็เป็นได้• ชื่อธุรกิจควรสัมพันธ์กับโลโก้ของบริษัท เพราะเป็นสิ่งแรกในการดึงดูดความสนใจของลูกค้า• ชื่อบริษัทควรเป็นชื่อที่สามารถนำมาจัดทำเป็นชื่อเว็บไซต์ได้ เพราะในยุค Digital Economy ที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในเรื่องของการสื่อสารเช่นทุกวันนี้ ธุรกิจของผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องมีเว็บไซต์เป็นของตนเองเพื่อประโยชน์ในด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์• การทดสอบชื่อธุรกิจของผู้ประกอบการ โดยการทำแบบสำรวจ หรือ ให้ผู้อื่น เช่น เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว หรือคนรู้จักในวงการธุรกิจที่มีประสบการณ์ ได้ทดลองพิจารณาชื่อธุรกิจ เช่น ให้แสดงความคิดเห็น ทดลองอ่านออกเสียง หรือพิจารณาแบบอักษรดู เสมือนว่าพวกเขาเป็นลูกค้าจริง ๆ ซึ่งข้อดี คือคนเหล่านี้อาจมองเห็นปัญหาที่ผู้ประกอบการมองข้ามหรือนึกไม่ถึงก็ได้ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันก่อนที่จะสายเกินไป ที่ปรึกษาธุรกิจสามารถนำแนวทางการตั้งชื่อธุรกิจนี้ ไปให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจใหม่ได้ และเมื่อผู้ประกอบการได้ชื่อของธุรกิจเรียบร้อยแล้ว ชื่อดังกล่าวต้องไม่ซ้ำกับชื่อของบริษัทหรือนิติบุคคลอื่น ๆ ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว และเป็นชื่อที่ “สามารถจดทะเบียนได้” วิธีการตรวจสอบนั้นก็สามารถทำได้ง่ายมากโดยทำเรื่องขอตรวจสอบชื่อนิติบุคคล หรือ “จองชื่อ” นิติบุคคลด้วยตัวเองไว้ก่อน ดังนี้ 1. ยื่นแบบจองชื่อต่อนายทะเบียนด้วยตนเอง ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในเขตที่ผู้ประกอบการอาศัยอยู่ หรือถ้าอาศัยอยู่ต่างจังหวัด สามารถไปที่สำนักงานพาณิชย์ประจำจังหวัด2. จองผ่านอินเตอร์เน็ต โดยกรอกข้อมูลที่ dbd.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่าชื่อดังกล่าวไม่ขัดกับข้อกำหนด ก็จะแจ้งกลับมาว่ารับจองชื่อแล้ว จากนั้นก็สามารถมั่นใจได้ว่าชื่อธุรกิจที่ตั้งนั้นเป็นชื่อที่สามารถจดทะเบียนได้ ที่มา : (incquity.com, dbd.go.th, smethailandclub.com, 2020)
12 มิ.ย. 2563
เปลี่ยน “คนธรรมดา” ให้เป็น “หัวหน้า” ที่ลูกน้องอยากทำงานด้วย
ในช่วง 2 เดือนที่รัฐบาลประกาศล็อคดาว์นเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่สามารถออกไปใช้เวลาวันหยุดนอกบ้านตามห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ฟิตเนสได้ เลยถือโอกาสทำความสะอาดบ้าน โละตู้เสื้อผ้า จนลามไปถึงจัดตู้หนังสือ ทำให้ได้เจอกับหนังสือเล่มเก่าที่เคยอ่านจบไป แต่อยากหยิบมาปัดฝุ่นแล้วอ่านใหม่อีกสักรอบ หนึ่งในนั้นคือ หนังสือ “51 วิธีคิดของหัวหน้า ที่ลูกน้องอยากทำงานด้วย” ซึ่งเป็นหนังสือที่แปลมาจากบทความของคุณอิวะตะ มัตซึโอะ อดีต CEO ของ Starbucks Coffee Japan โดยเนื้อหาของหนังสือจะบอกเล่าถึงประสบการณ์ของคุณอิวะตะ ในการเป็นหัวหน้า และผู้บริหารองค์กรที่พนักงานทุกคนอยากอยู่ด้วยและพร้อมที่จะทำให้ วันนี้เลยถือโอกาสหยิบเอาเนื้อหาบางส่วนของหนังสือเล่มนี้มาแชร์เพื่อเป็นมุมมองความคิดดีดีค่ะ จากชื่อหนังสือทุกคนคงพอคาดเดาได้ว่า คุณอิวะตะได้บอกเล่ามุมมองและวิธีคิดของการเป็นหัวหน้าที่ดีเอาไว้ทั้งหมด 51 ข้อ ซึ่งจะขอหยิบยกมาบางข้อที่อ่านแล้วรู้สึกประทับใจและอินกับเนื้อความ ดังนี้ค่ะ - ลงมือทำเอง ก่อนจะให้คนอื่นทำ : คุณอิวะตะได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “ก่อนที่จะไปออกคำสั่งหรือปกครองใคร คนเป็นหัวหน้าต้องฝึกฝนและควบคุมตัวเองให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าแม้แต่ตัวเองยังควบคุมไม่ได้ก็ไม่มีทางจะไปควบคุมคนอื่นได้เลย” แสดงให้เห็นว่าผู้นำที่ดีจะต้องมีองค์ความรู้ และเข้าใจในงานที่มอบหมายให้ผู้อื่น แต่ถ้าเรื่องใดที่ยังไม่รู้ก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง- ประสบการณ์ความล้มเหลว จะทำให้เข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น : ถ้าหากหัวหน้างานเคยมีประสบการณ์ที่พบกับความล้มเหลว หรือความยากลำบากมาก่อน จะเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่นและ จะไตร่ตรองก่อนทุกครั้งเพื่อระวังการกระทำของตนเองไม่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด - คำพูดและการกระทำในแต่ละวัน คือสิ่งที่สร้างความเชื่อใจให้แก่กัน : หัวหน้าที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้องจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นในกันและกัน โดยปัจจัยสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี คือ การสื่อสาร ซึ่งไม่ได้หมายความถึงการพูดเท่านั้น แต่หมายรวมถึง “การกระทำ” คุณอิวะตะให้ข้อคิดเห็นไว้ว่า สำหรับลูกน้องแล้วทุกการกระทำของหัวหน้าล้วน ลูกน้องจะสังเกตว่าหัวหน้าดีใจกับเรื่องอะไร หรือโมโหกับเรื่องอะไร แล้วพยายามตีความจากท่าทีเหล่านั้น - หัวหน้าต้องหมั่นถามความเห็นลูกน้อง : คุณอิวะตะให้ข้อคิดเห็นไว้ว่าหัวหน้าที่ดีในสายตาลูกน้อง คือ หัวหน้าที่แสดงออกว่า “อยากทำงานไปด้วยกันกับทุกคน” มากกว่าที่จะ “คอยสั่งให้คนอื่นทำตาม” นั่นหมายถึง หัวหน้าที่ดีต้องมองว่าลูกน้องคือมิตรที่มีเป้าหมายร่วมกัน ดังนั้น หัวหน้าจึงควรที่จะถามความเห็นลูกน้องตั้งแต่เริ่มต้นกำหนดภารกิจ เพื่อให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นร่วมกันว่าควรดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ทีมสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนั้น การรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องคือสิ่งสำคัญที่แสดงออกว่าหัวหน้าเห็นความสำคัญและต้องการพึ่งพาพวกเขา- เริ่มด้วยการใส่ใจลูกน้อง : สิ่งที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้าคือการให้ความสนใจกับลูกน้อง ขอแค่เวลาที่พวกเขาสุขหรือเศร้า แค่เพียงถามไถ่จะทำให้พวกเขารับรู้ว่า “หัวหน้าใส่ใจ” ซึ่งหัวหน้าที่ดีต้องใส่ใจไปจนถึงลูกน้องของลูกน้อ'เพราะจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าหัวหน้าสังเกตเห็นตัวตน และสนใจพวกเขา เป็นการสร้างกำลังใจที่ส่งผลต่องานที่พวกเขาทำ- หัวหน้าต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : หัวหน้าต้องรับหน้าที่เป็นทั้งผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน โดยในกรณีที่ถูกประเมินหัวหน้าจะถูกคาดหวังจากลูกน้องว่า หัวหน้าคือคนที่จะรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย ซึ่งหัวหน้าที่ดีจะต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม - หัวหน้าต้องไม่หนี : คุณอิวะตะให้ข้อคิดเห็นไว้ว่า คนที่เป็นหัวหน้าระดับกลางมีหน้าที่ในการทำ ความเข้าใจความรู้สึกของลูกน้อง และนำสิ่งที่ลูกน้องคิดไปถ่ายทอดให้ผู้บริหารระดับสูงได้รับรู้ พร้อมทั้งต้องอธิบายความเห็นของผู้บริหารระดับสูงให้ลูกน้องได้เข้าใจด้วย นอกจากนั้น สิ่งสำคัญที่หัวหน้าที่ดีต้องมีอยู่ในตัวเองคือ “การตัดสินใจ” ครั้งนี้ ถือโอกาสแชร์ประสบการณ์จากการอ่านเพียงเท่านี้ถ้าหากท่านใดสนใจสามารถตามหาหนังสือเล่มดังกล่าวได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปนะคะ
08 มิ.ย. 2563
ความเชื่อกับธุรกิจ และ ธุรกิจความเชื่อ
ถ้าว่ากันตามท้องเรื่องก็จะพบว่า บทความที่ผมจะพูดถึงนี้ประกอบด้วยเนื้อหา 2 เรื่องด้วยกันคือ ความเชื่อกับ (นัก) ธุรกิจ และการทำธุรกิจ (ที่เกี่ยวกับ) ความเชื่อ ถ้าเขียนแบบนี้คงพอจะเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งดูละม้ายคล้ายกันจนทำให้เกิดอาการมึนงงได้เลยทีเดียว แต่ในความจริงแล้วมันเป็นคนละเรื่องกันแต่เชื่อมโยงกันในลักษณะของ Supply chain นั่นแหละครับ ส่วนที่ 1 ความเชื่อกับธุรกิจ สำหรับคนไทย จีน พม่า ลาว หรือประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียที่นับถือศาสนาพุทธ พราหมณ์ ฮินดู ล้วนมีความศรัทธาตั้งมั่นในศาสนาของตนอย่างเหนียวแน่น ซึ่งอิทธิพลของความศรัทธาหรือความเชื่อนั้นก็ได้เข้ามาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของตนโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นล่าง กลาง หรือชั้นสูง ไม่ว่าจะมีอาชีพการงานระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับชาติ ก็ล้วนมีความเชื่อในสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ในสายเลือด ไล่ตั้งแต่นักธุรกิจระดับ Micro SMEs ไปจนถึงระดับเจ้าสัวหมื่นล้าน ก็มักจะมีการแสดงออกถึงความเชื่อของตนอยู่ในธุรกิจนั้นเสมอ ผมจะยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนไทยเชื่อว่าทำมาค้าขายให้บูชาแม่นางกวัก คนนับถือพราหมณ์หรือฮินดูจะบูชาพระพรหม คนจีนต้องดูฮวงจุ้ยก่อนตั้งห้างร้านและการจัดวางสินค้าในร้าน คนฮ่องกงเชื่อใบพัด/กังหัน คนญี่ปุ่นใช้มาเนกิ เนโกะ (แมวกวัก) ทีนี้ลองมาดูกันแต่ละอย่างโดยผมจะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ให้พอเห็นภาพความเชื่อที่ชัดเจนขึ้นว่านักธุรกิจนั้นเชื่อในอะไรบ้างนอกจากตำราเศรษฐศาสตร์ พระพุทธรูป พระเครื่อง เทวรูป เครื่องรางของขลัง อันดับแรกที่ต้องพูดถึงเลยคือเรื่องของพระพุทธรูป พระเครื่อง เทวรูป เครื่องรางของขลัง ซึ่งในที่นี้จะขอเรียกแบบเหมายกเข่งว่า “วัตถุมงคล” โดยแต่ละศาสนา ลัทธิ และความเชื่อประจำถิ่นของแต่ละคนก็จะมีวัตถุมงคลที่ว่ามานั้นแตกต่างกันไป เช่น คนไทยก็จะเชื่อว่า การทำมาค้าขายหรือการทำธุรกิจเล็ก ๆ ไปจนถึงขนาดกลางมักจะต้องมีผู้ช่วยจึงจะประสบความสำเร็จ ทำมาค้าขึ้น ร่ำรวยเงินทอง เช่น พระสังกกัจจายน์ พระสิวลี พระอุปคุต เครื่องรางของขลังที่เชื่อว่าช่วยธุรกิจและการค้าก็มี เช่น แม่นางกวัก กุมารทอง ปลัดขิก พญาเต่าเรือน กาฝากรัก กาฝากมะรุม และวัตถุมงคลรูปนกสาริกา ทางด้านคนไทยเชื้อสายจีน คนจีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ จะเชื่อในเทพเจ้าจีน เช่น ฮกลกซิ่ว เทพเจ้ากวนอู เจ้าแม่กวนอิม เทพไฉ่ซิงเอี้ย ทางฝั่งเทพเจ้าฮินดูก็มักจะเป็นพระพรหมและพระพิฆเนศ เป็นหลัก ทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุมงคลในรูปแบบ “วัตถุ” ที่จับต้องได้มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดจิ๋วไปจนถึงหน้าตักหลายนิ้วหรือที่เรียกว่าขนาดบูชา สำหรับนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ท่านมักจเห็นว่าหน้าสำนักงานของบริษัทเหล่านั้นมักตั้งศาลพระภูมิ เจ้าที่ หรือศาลพระพรหม หรือเทพเจ้าที่ตนนับถือไว้ด้วยเสมอ นี่คือความเชื่อในรูปแบบแรก โหราศาสตร์ ดวงชะตา ตัวเลข ฮวงจุ้ย ความเชื่อในแบบที่สองพอจะมองภาพได้ชัดว่าต่างจาก แบบแรกด้วยมีความเป็นวิชาการ ตรรกศาสตร์ สถิติ และโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นความเชื่อในรูปแบบที่ไม่ใช่วัตถุแต่เป็นการทำตามหลักการ (ที่ตนเชื่อถือ) ว่าทำแล้วจะเกิดความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นการดูฮวงจุ้ย การตั้งศาลทั้งหลายที่ไม่ใช่ศาลพิพากษา สีฝาผนังร้าน สีป้ายร้าน เลขมงคล เช่น เบอร์มือถือ ซึ่งหลายท่านอาจไม่เห็นความสำคัญ แต่กับอีกหลาย ๆ คนกลับยอมทุ่มเงินหลักหมื่นหลักแสนเพื่อให้ได้เบอร์มือถือที่ถูกโฉลกเพียงเบอร์เดียว และความเชื่อเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ท่านลอง search ดูร้านหรือคนขายเบอร์สวยเบอร์มงคลในอากู๋ google ดูแล้วกันว่ามีกี่พันเจ้า ซึ่งผมว่าน่าจะมีมากพอ ๆ กับศูนย์พระเครื่องที่ให้เช่าบูชาวัตถุมงคลตามความเชื่อในแบบแรกเลยทีเดียว นอกจากนี้นักธุรกิจกลุ่มใหญ่ยังพึ่งพาการดูดวง และโหราศาสตร์ในการทำธุรกิจอีกด้วย เช่น คนเกิดวัน เดือน ปี ต่างกัน จะมีธุรกิจที่ทำแล้วรุ่งกับทำแล้วล่วงต่างกันไป บางคนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วจะรวย ในขณะที่บางคนต้องทำธุรกิจทางน้ำเท่านั้นถึงจะรุ่ง ทำให้เรามักได้ยินว่ามีชื่อของหมอดูและซินแสนเงินล้านเป็นที่ปรึกษาของนักธุรกิจรายใหญ่อยู่พอสมควร ส่วนที่ 2 ธุรกิจความเชื่อ นับเป็นซีรี่ย์ที่ต่อจากส่วนแรก ก็เพราะว่ามีความเชื่อกับธุรกิจ จึงทำให้เกิด ธุรกิจ (บน) ความเชื่อ และสิ่งนั้นทำให้เกิดธุรกิจแบบนึงขึ้นมาเพื่อที่ทำหน้าที่สนอง need ของนักธุรกิจในกลุ่มแรก อันได้แก่ ศูนย์พระเครื่องที่ให้เช่าบูชาวัตถุมงคลประเภทต่าง ๆ มีตั้งแต่ระดับ Micro SMEs คือพ่อค้าประเภทแผงลอย หรือในวงการเรียกว่าแผงจร คือนำพระเครื่องวัตถุมงคลที่ตนมีไปเปิดแผงให้บูชาตามสถานที่ที่เรียกว่าสนามพระ ตลาดพระ เป็นต้น ระดับ Small ก็มีศูนย์พระเครื่องขนาดใหญ่ที่มีลูกน้อง ลูกจ้าง ประจำศูนย์ มีคนหาพระส่งเข้าศูนย์ ปกติจะอยู่ตามห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์พระเครื่องขนาดใหญ่ที่มีผู้ประกอบการจำหน่ายวัตถุมงคลหลายสิบรายมาอยู่รวมกันในที่เดียว ไปจนถึงธุรกิจระดับ Medium คือ ผู้ที่สร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลให้กับวัดต่าง ๆ โรงงานหล่อพระ ปั้มพระ เป็นต้น ท่านทราบหรือไม่ว่าธุรกิจเกี่ยวกับพระเครื่อง วัตถุมงคลนี้ ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทยปีละหลักหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว เพราะปัจจุบันผู้ที่นิยมชมชอบพระเครื่องวัตถุมงคลได้ขยายไปทั่วโลกแล้ว ดังนั้น วัตถุมงคลที่กล่าวมาจึงกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอีกอย่างหนึ่งของไทย นอกจากธุรกิจการจำหน่ายสินค้า (วัตถุมงคล) แล้ว ธุรกิจการให้บริการบนความเชื่อก็รุ่งเรืองไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ซินแส หมอดู อาจารย์ดัง ผู้แทนจำหน่ายหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้มีวิชาอาคมขลังปลุกเสกวัตถุมงคล สร้างวัตถุมงคล ทำพิธีกรรมด้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ต่าง ๆ อีกมากมาย เรียกว่ามากพอ ๆ กับจำนวนดารานักร้องสมัยนี้เลยทีเดียว บางคนก็ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดัง บางคนก็ดับไปในสายลม ทั้งนี้เพราะอาชีพที่กล่าวมานั้นมีปัจจัยพิเศษอยู่ประการหนึ่งที่จะตัดสินธุรกิจว่าจะรอดหรือไม่ สิ่งนั้นคือ “เครดิต”ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินหรือการให้สินเชื่อ แต่เป็น “ความน่าเชื่อถือ” ในอาชีพ เช่น กุมารทององค์หนึ่ง เจ้าของศูนย์พระในห้างซึ่งเป็นกรรมการสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย สามารถปล่อย (ขาย) ให้ลูกค้าได้ในราคา 100,000 บาท แต่เจ้าของแผงพระในตลาดนัดพระเครื่องปล่อยได้ในราคา 5,000 บาท ทั้งที่กุมารทองนั้นมาจากวัดเดียวกันรุ่นเดียวกันและเป็นของแท้เหมือนกัน สิ่งที่ต่างกันมีเพียงสิ่งเดียวคือ “ผู้ขาย” นั่นเอง สรุปให้ง่ายได้ใจความคงพูดได้ว่า นักธุรกิจที่มีความเชื่อ (กลุ่มแรก) คือ Demand ส่วนผู้ทำธุรกิจบนความเชื่อ (กลุ่มที่สอง) คือ Supply หรือ นักธุรกิจทีมีความเชื่อคือ ลูกค้า ส่วนผู้ทำธุรกิจบนความเชื่อเป็น พ่อค้า นักธุรกิจทั้งสองกลุ่มจึงมีความสัมพันธ์กันบน Supply chain ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ และกลไกด้านราคาของสินค้าขึ้นอยู่กับ “ความน่าเชื่อถือ” ของผู้ขายเป็นหลัก ซึ่งกว่าจะได้ความน่าเชื่อถือหรือเครดิตนั้นมาแต่ละคนต้องสร้างและสะสมทั้งประสิทธิภาพ คุณภาพสินค้า และความซื้อสัตย์ในการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน เพราะธุรกิจประเภทนี้ เครดิตที่สะสมมาทั้งชีวิตสามารถพังทลายได้ถ้าผู้ขายเกิดความโลภเพียงครั้งเดียว ถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ธุรกิจเกี่ยวความเชื่อนี้จะยังคงไปต่อได้อีกไกล ดั่งคำที่เล่าขานเป็นตำนานว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
04 มิ.ย. 2563
รู้เรื่องติดตามประเมินผล ชีวิตงานรุ่งไม่พลาดชัวร์
การกล่าวถึงการติดตามและประเมินผล คนทั่วไปนิยมกล่าวการติดตามและประเมินผล กล่าวหรือเรียกร่วมกัน แท้จริงแล้ว การติดตาม และการประเมินผลมีความแตกต่างในด้านแนวคิด กระบวนการ กิจกรรมในการดำเนินงานในการติดตามและประเมินผล ทำไม.....หน่วยงานต้องดำเนินการติดตามและประเมินผลบางท่านสงสัย หรือมีคำถามในหน่วยงาน ทำไมต้องติดตามและประเมินผล หรือทำไมต้องติดตาม ประเมิน หรือการจัดทำรายงานโครงการ/กิจกรรม ความก้าวหน้าการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน เพื่อการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผล การติดตามและประเมินผลเป็นกระบวนการบริหารจัดการหนึ่งของหน่วยงานเพื่อจุดประสงค์การติดตามความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน หรือการดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม สำหรับการประเมินผล เพื่อวัดความสำเร็จของโครงการ/กิจกรรม ด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อการนำผลไปปรับปรุง แก้ไข และทราบถึงความสำเร็จของการดำเนินงาน สำหรับนิยาม “การติดตาม” (Monitoring) หมายถึง การเก็บรวมข้อมูลการปฏิบัติติงานตามแผนงาน โครงการ/กิจกรรมที่กำหนด เพื่อใช้ในการตัดสินใจ แก้ไข ปรับปรุง วิธีการปฏิบัติติงานให้ผลงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประเภทการติดตาม มีรูปแบบ 6 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 การติดตามในเชิงกระบวนการ เพื่อประเมินปัญหาอุปสรรคระหว่างการดำเนินงานรูปแบบที่ 2 การติดตามเชิงปริมาณ เป็นการติดตามผลผลิตที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา รูปแบบที่ 3 การติดตามเชิงคุณภาพ เพื่อการประเมินว่าการดำเนินงานในแต่ละเรื่องมีระดับคุณภาพมากน้อยเพียงใด รูปแบบที่ 4 การติดตามเชิงเวลา เป็นการติดตามเชิงของแผนเทียบกับผลในแต่ละช่วงเวลารูปแบบที่ 5 การติดตามเชิงงบประมาณ เป็นการติดตาม เฝ้าดูการใช้งบประมาณในแต่ละช่วงเวลาโดยประเมินเปรียบเทียบความเหมาะสมของจำนวนเงินและปริมาณงานที่ได้ดำเนินการรูปแบบที่ 6 การติดตามเชิงวิชาการ หรือในทางเทคนิคของการดำเนินการ ส่วน “การประเมินผล” (Evaluation) หมายถึง การตรวจสอบความก้าวหน้าของแผนงานโครงการ/กิจกรรม และการพิจารณาผลความสำเร็จ หรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานโครงการ/กิจกรรม มากน้อยเพียงใดอยู่ในระดับใด เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น จะทำให้ทราบว่าการดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม บรรลุวัตถุประสงค์ มากน้อยเพียงใด หากจะกล่าวถึงมิติการประเมิน (ศิริชัย กาญจนวลี (2554), มี 2 มิติ ได้แก่ 1. มิติของวิธีการประเมิน ประกอบด้วย 1.1 แนวทางวิธีการประเมินที่ใช้เทคนิคของชิงระบบ (Systematic approach) เป็นวิธีการประเมินที่มีเครื่องมือในการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือแนวทางการประเมินที่ชัดเจน กระบวนงานประเมินที่เป็นขั้นตอนหรือเป็นระบบ 1.2 แนวทางวิธีเชิงธรรมชาติ (Nationalistic approach ) เป็นวิธีที่ไม่มีการกำหนดระเบียบวิธีในการให้มาของข้อมูลเพื่อการใช้ในการประเมินอย่างชัดเจน แต่อาศัยของผู้ประเมินเป็นหลัก2. มิติของวัตถุประสงค์ของการประเมิน 2.1 การประเมินที่มีจุดประสงค์เพื่อการตัดสินใจเป็นการประเมินที่มุ่งเน้นข้อมูลสารสนเทศต่างเพื่อการตัดสินใจผู้บริหาร 2.2 การประเมินที่มีจุดประสงค์เพื่อการตัดสินใจคุณค่าเป็นการนำกระบวนการที่เหมาะสมมาใช้เพื่อตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ประเมินนั้น ๆ การตัดสินใจคุณค่าจะต้องวางบนพื้นฐานของความเป็นกลางอย่างไม่มีผู้ส่วนได้เสีย จะต้องดำเนินการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งผลเชิงบวกและผลเชิงลบเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม การติดตามเป็นกระบวนการที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่วนการประเมินผลจะมีการประเมินผลเป็นช่วง ๆ ต้นแต่เริ่มต้น ระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงาน โดยหลักการแล้วควรต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการติดตาม ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเรียกรวมเป็น การติดตามและประเมินผล ที่มา : ศิริชัย กาจนวาสี (2554) ทฤษฎีการประเมิน, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
02 มิ.ย. 2563
วางแผนดี...ปัญหาไม่มีให้รำคาญใจ
ในอดีตมีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่คิดจะดำเนินการอะไรก็ดำเนินการเลยโดยไม่มีการวางแผน ไม่มีการคิดอย่างเป็นระบบล่วงหน้า ใช้วิธีการคิดแล้วทำทันที เพราะกลัวจะเสียเวลาหรือเพราะไม่รู้ว่าจะวางแผนอย่างไร ความจริงที่พบคือ ถ้าวางแผนไว้ก่อนจะทำให้ไม่เสียเวลาในการนำไปสู่การปฏิบัติ เพราะการวางแผน การกำหนดแนวทางและวิธีปฏิบัติที่ดีไว้ล่วงหน้าแล้ว จะทำให้การดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนด นอกจากนี้การคาดการณ์ถึงปัญหาอุปสรรคและเตรียมการป้องกันและแก้ไขไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็จะยิ่งได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น หากมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น จะสามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคนั้น ๆ ต่อไปได้ ดังนั้น การวางแผนจึงเปรียบเสมือนเป็นการคิดล่วงหน้า อีกส่วนก็คือ การกำหนดแนวทางปฏิบัติหรือแผนกระทำการต่าง ๆ ที่จะใช้เป็นทางเลือกเพื่อนำมาปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์เหล่านั้น ในการวางแผนช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการดำเนินงาน และใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่จะปฏิบัติ งบประมาณ เป็นแผนงานโดยละเอียดในรูปตัวเลขทั้งจำนวนหน่วยและจำนวนเงินตามแผนการดำเนินงานของกิจการสำหรับระยะเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต การจัดทำงบประมาณเป็นการวางแผนอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อให้หน่วยงานดำเนินงานให้ได้ผลสำเร็จตามเป้าหมาย ในการพิจารณาโครงการฝ่ายจัดการจะต้องคาดคะเนรายได้ที่จะได้รับแต่ละโครงการ และกำหนดงบประมาณต้นทุนที่ต้องใช้จ่าย เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนในโครงการ โดยงบประมาณเป็นแผนงานที่แสดงในรูปตัวเงินของโครงการในระยะเวลาหนึ่ง รวมถึงทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามแผนที่ตั้งไว้ งบประมาณช่วยให้ทุกแผนกงาน ทำงานอย่างมีเป้าหมาย หัวหน้าแต่ละคนจะต้องจัดลำดับการใช้จ่ายงบประมาณ และศึกษาวิธีการที่จะจัดการงบประมาณให้รัดกุม และจะต้องมีวิสัยทัศน์ในเป้าหมายโดยรวมทั้งหมดของโครงการ และค้นหาวิธีการที่จะทำให้บรรลุความสำเร็จเหล่านั้น ประโยชน์และความสำคัญของงบประมาณ เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงาน ตามแผนงานและกำลังเงินที่มีอยู่ โดยให้มีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้ เพื่อป้องกันให้การรั่วไหลและการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็นของหน่วยงานลดลง เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน โดยหน่วยงานต้องพยายามใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการที่จำเป็น เป็นโครงการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าของหน่วยงาน เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้มีประสิทธิภาพ โดยหน่วยงานต้องพยายามใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการที่จำเป็น เป็นโครงการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าของหน่วยงาน เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากรและเงินงบประมาณที่เป็นธรรม งบประมาณสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรม ไปสู่จุดที่มีความจำเป็นและทั่วถึงที่จะทำให้หน่วยงานนั้นสามารถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์งานและผลงานของหน่วยงาน เนื่องจากงบประมาณเป็นที่รวมทั้งหมดของแผนงานและงานที่จะดำเนินการในแต่ละปี พร้อมทั้งผลที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นหน่วยงานสามารถใช้งบประมาณหรือเอกสารงบประมาณที่แสดงถึงงานต่าง ๆ ที่ทำเพื่อเผยแพร่ผลงานและความสำเร็จขององค์กร
25 พ.ค. 2563
ผู้ประกอบการดีเด่นหัวใจแกร่ง Strong Heart Outstanding Entrepreneur
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับสำนักบริหารงานวิจัยและนวัตกรรมพระจอมเกล้าลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ดำเนินการศึกษาติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน ภายใต้โครงการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อจัดเก็บรวบรวมข้อมูลการเข้ารับบริการของผู้ประกอบการอย่างเป็นระบบ และตอบสนองต่อกระบวนการประเมินโครงการที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนโครงการอย่างมีประสิทธภาพต่อไป ซึ่งใช้กระบวนการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI : Social Return on Investment) มาประเมินโครงการ/กิจกรรม มีจำนวนทั้งหมด 7 กิจกรรม โดยผู้ประกอบการดีเด่นหัวใจแกร่ง (Strong Heart Outstanding Entrepreneur) ต่อไปนี้ สามารถต่อยอดความรู้และพัฒนาธุรกิจให้มีรายได้ลงสู่ชุมชนจนเกิดความเข้มแข็งพร้อมรับมือการแข่งขันของตลาดระดับสากลต่อไป
19 พ.ค. 2563